กิน เที่ยว ชมอย่างศิลป์ กับ “Jim Thompson Heritage Quarter”

บางคนบอกว่า “ศิลปะ” เป็นเรื่องของความชอบและรสนิยม และอีกหลายคนอาจคิดว่าศิลปะเป็นเรื่องที่เข้าถึงยากหรืออาจไม่น่าสนใจเลยก็ได้ แต่ถ้ามองอีกมุม “ศิลปะ” ก็คือชีวิต ซึ่งอาจซ่อนอยู่ในบางมุมของชีวิตและความคิดของเราก็ได้ และถ้าพูดถึงชีวิตกับศิลปะ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน นั่นคือ เราจะใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะได้อย่างไร บางครั้งศิลปะสอนให้เราคิด มอง และใช้ชีวิตในมุมต่างที่กว้างขึ้น และอาจทำการใช้ชีวิตมีสีสันมากขึ้นก็ได้

วลีที่ว่า “กินเที่ยวและชมอย่างศิลป์” นี้จะสะท้อนอะไรบ้าง ทั้งสามสิ่งนี้มีความสัมพันธ์และเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร คงไม่มีใครปฎิเสธได้ว่า “กินเที่ยวและชมงานศิลป์” นั่นสามารถจุดประกายความสุขได้ พูดอีกนัยว่าทำอย่างเดียวก็ได้อย่างเดียว แต่ถ้าทำอะไรหลายๆ อย่าง เราอาจเติมเต็มสีสันให้กับความสุขของเราได้อีกรูปแบบหนึ่งและการดำเนินชีวิตของเราอาจมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมาได้

เรามาสร้างวันแห่งความสุขกันกับ “Jim Thompson Heritage Quarter” สถานที่เดียวที่ให้ทั้งกิน เที่ยว และชมงานศิลปะได้ภายในวันเดียวจบ ความเพลิดเพลินมีให้ตั้งแต่มิวเซียมและอาร์ตเซ็นเตอร์ที่จัดแสดงนิทรรศการ รวมถึงร้านอาหาร คาเฟ่ และช็อปขายของเก๋ๆ ด้วยสินค้าสไตล์แฮนเมดที่สะท้อนสีสันของความเป็นไทย รวมไปถึงห้องสมุดที่เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าใช้บริการฟรีอีกด้วย พูดรวมๆ ได้ว่าที่นี่คือ Lifestyle Destination ของกรุงเทพอย่างมีเสน่ห์และลงตัว

จุดแรกที่น่าสนใจก็คือ “Jim Thompson Art Center” เป็นตึกอยู่ด้านหน้า เรียกได้ว่าเป็นอาร์ตสเปซด้วยอาคารสูง 4 ชั้น ขนาด 3,000 ตารางเตร ภายในอาคารมีทั้งคาเฟ่ ห้องสมุด อาร์ตแกลอรี่ รวมถึงร้านอาหารและชั้นดาดฟ้าที่มองเห็นวิวของเมือง

สำหรับ “Jim Thompson Art Center” ถูกสร้างขึ้นให้เป็นพื้นที่รองรับสำหรับจัดแสดงนิทรรศการ งานศิลปะต่างๆ เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงงานศิลปะได้ง่าย ช่วงนี้เขาจัดผลงานจากแนวคิด “ยูโทเปีย” ด้วยการสะท้อนและสื่อสารงานศิลปะผ่านภาพยนตร์ “Neon Ghost” ที่เปิดพื้นที่ทางจินตนาการสำหรับการคิดถึงอนาคตของโลก

การเลือกชมงานศิลปะนั้นแม้ว่าจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับแบบไม่ทันตั้งตัวก็คือการถ่ายทอดความนึกถึงและจิตนาการของเจ้าของผลงานด้วยแนวคิดและมุมมองที่แตกต่าง เหมือนอยากจะบอกเราถึงเรื่องราวของ “การดำรงอยู่ในความแตกต่าง” นั่นเอง

ก่อนที่เราจะเดินไปยังพิพิธภัณฑ์บ้านคุณจิม ทอมป์สัน (Jim Thompson House Museum) ขอแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารชั้น 2 เพื่อให้ท้องอิ่มและมีพลังที่จะเดินและเรียนรู้อะไรอีกมากมายในข้างหน้า

เมนูโปรดและเป็น Signature ของที่นี้ก็คือ ข้าวสอย นั่นเอง แต่ถ้าใครอยากได้ซุปมาทานให้คล่องคอก็ต้องเป็น สตูเนื้อวัวร้อนๆ เป็นเมนูหลักและเร็วของวันนี้ ทานเสร็จเดินลุยด้านในกันต่อได้เลย

ด้านในสุดของพื้นที่นี้ก็คือ “Jim Thompson House Museum” ถือว่าเป็น Highlight ของวันนี้เลยทีเดียว ด้านหน้าทางเข้าจะเป็นร้านขายสินค้าภายใต้แบรนด์ “จิม ทอมป์สัน” ในนามว่า “The Iconic Store” สินค้ามีให้เลือกด้วยสีสันที่น่าสนใจสำหรับหลายๆ คน โดยเฉพาะชาวต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน ไปจนถึงคอลเลกชั่นสุดเอ๊กซ์คลูซีฟ (ใครว่างจะมาละลายทรัพย์ก็ไม่ว่ากัน) การตกแต่งภายในด้วยโทนสีแดงตามรอยเรือนไทยของคุณจิม ทอมป์สัน และได้ปรับแนวสีใหม่ให้เป็นโทนสีส้มอมแดง เพื่อให้ผสมผสานและส่งเสริมสีสันของผ้าไหมที่สะท้อนความหลากหลายของการเล่นเส้นสี

ส่วนชั้นบนจะเป็นโซนโชว์ “Museum About the Man” จัดแสดงและเล่าเรื่องราวที่มาพร้อมผลงานของคุณจิม ทอมป์สัน ในช่วงที่ใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในเมืองไทย เมื่อได้มาเห็นในครั้งนี้ทำให้เรารู้จักและสัมผัสถึงตัวตนของเขามากขึ้น ตั้งแต่การทำงานในช่วงแรกในฐานะสถาปนิกที่สหรัฐอเมริกา จนถึงการมาสร้างชื่อเสียงในฐานะราชาไหมไทย จนกระทั้งหายสาบสูญไปในขณะเดินทางพักผ่อนที่ประเทศมาเลเซีย ปี ค.ศ. 1967

และด้านในสุดก็เป็นพิพิธภัณฑ์บ้านคุณจิม ทอป์สัน (Jim Thompson House Museum) เป็นบ้านเรือนไทยไม้สักไทยแท้ 6 หลังด้วยกัน โดยที่คุณจิม ทอมป์สัน ผู้หลงใหลบ้านไทยได้ไปหาซื้อมาจากภูมิภาคต่างๆ จากทั่วไทย จากนั้นก็ได้ให้ชาวบ้านแยกชิ้นส่วนบ้านเรือนไทยออกจากกัน แล้วนำส่งกลับมาประกอบขึ้นใหม่บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ตรงจุดนี้ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับคลองแสนแสบ และยังอยู่ใกล้กับชุมชนบ้านครัวช่างทอผ้าอีกด้วย โดยแท้จริงแล้ว คุณจิม ทอมป์สัน ทั้งชอบและรักที่จะสะสมของเก่า ไม่ว่าจะเป็นงานประติมากรรม จิตรกรรม และเครื่องกระเบื้อง ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นของสะสมและหาค่อนข้างยาก ในช่วงเวลานั้นเอง เขาได้ออกไปตระเวนหาซื้อชิ้นงานโบราณต่างๆ จากอยุธยา บ้างและหาซื้อตามแหล่งค้าขายของเก่าบ้าง (เรียกได้ว่ามีที่ไหนคุณจิมไปที่นั่น) แต่หลังจากที่เขาได้หายตัวไปในประเทศมาเลเซีย บ้านไม้สักไทยทั้ง 6 หลัง พร้อมชิ้นงานโบราณที่สะสมไว้ จึงถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ในนามว่า “Jim Thompson House Museum” มาจนถึงทุกวันนี้

จบจากการเดินชมบ้านไทยทั้ง 6 หลัง ก่อนกลับนั่งพักจิบกาแฟและเครื่องดื่มเย็นๆ กันได้ที่ Silk Café ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ติดกับ “The Iconic Store” เป็นคาเฟ่ใต้ถุนบ้านเรือนไทยท่ามกลางบรรยากาศโฮมมี่ เหมาะสำหรับการเพิ่มความเฟรชก่อนกลับบ้าน ด้วยความสดชื่นและความประทับใจกับการกิน เที่ยวและชมงานแห่งศิลป์ “Jim Thompson Heritage Quarter”

พูดได้ว่า “ท่ามกลางบรรยากาศสุดร่มรื่นที่ไม่น่าเชื่อว่าจะตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพ อีกทั้งมาแล้วยังได้เห็นโครงสร้างของบ้านเรือนไทยสมัยก่อน ที่ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งแทบหาดูค่อนข้างยากมากในทุกวันนี้”

“น้ำมันปาล์มตราผึ้ง” โดยกลุ่มปาล์มธรรมชาติ ขอร่วมส่งเสริมเพื่อสืบสานคุณค่าแห่งวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของการ “กินดี อยู่ดี สุขภาพดี” ของคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง

Similar Posts