ท่าเตียน ประวัติศาสตร์ย่านกรุงเก่าฝั่งพระนคร
ถ้าพูดถึง “ท่าเตียน” คงหนี้ไม่พ้นที่จะนึกถึงยักษ์วัดโพธิ์ และใครๆ ก็คงได้เคยแวะมาเยือนเที่ยวชมย่านกรุงเก่าฝั่งพระนครแห่งนี้กันมาบ้างแล้ว นอกจาก “วัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” ย่านนี้ยังถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นที่นิยมของผู้คนมากมายทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เรียกได้ว่า “ท่าเตียน ย่านที่ไม่เคยหลับใหล” ก็มันคือแหล่งท่องเที่ยวที่ส่งกลิ่นอายความเป็นไทยผ่านทั้งอาหารการกิน เครื่องดื่ม และบรรยากาศของอาคารเก่าแก่ที่คงสภาพดูเหมือนใหม่ ผสมผสานความเป็นโมเดิร์นอย่างลงตัว
‘ท่าเตียน’ ย่านชุมชนเก่าแก่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันน่าค้นหา ไม่ว่าจะไปครั้งไหน ๆ ก็ไม่เคยเบื่อ จะเดินเที่ยว กิน และเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศเก่าๆ ก็ซ่อนความหลังครั้งเก่าๆ ก็ดีไม่ใช่น้อย เหมาะสำหรับการกินเที่ยวภายใน 1 วันก็ถือว่าคุ้มสุดๆ
เรามาเริ่มกันที่ “วัดโพธิ์” อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญในย่านนี้ มาชวนกันทำบุญเริ่มต้นวันใหม่กันดีไหม
‘วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม’ หรือที่หลายคนอาจจะคุ้นหูในชื่อ ‘วัดโพธิ์’ โดยเป็นวัดเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 นอกจากจะโดดเด่นด้วยพระเจดีย์สวยสดงดงามที่หลายคนต้องตามมาเก็บภาพสวย ๆ กัน ยังขึ้นชื่อในเรื่องของการนวดแผนไทยที่ถูกถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น และถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ และที่นี้เราจะเข้ามาพบเห็น “พระนอน” ของวัดโพธิ์ที่เป็นจุดไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด เพราะที่นี่มีพระนอนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ พระนอนเป็นพระพุทธรูปที่ถูกสร้างขึ้นด้วยช่างทองฝีมือขั้นสูงในสมัยราชกาลที่ 3 และถือเป็นจุดกำเนิดของศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยพระพุทธไสยาสน์นี้เป็นพระปางไสยาสน์หรือพระประจำคนเกิดวันอังคาร พระพักตร์ของพระพุทธรูป ที่สวยงาม โดดเด่นอีกโดยพระนอนวัดโพธิ์มีลักษณะพิเศษคือที่พระพุทธบาททั้งสองข้างวางซ้อนเสมอกันทั้งซ้ายและขวาและมีการฝังมุกด้วยเครื่องหมายมงคล 108 ประการที่พระบาทและมีกงจักรขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง พระนอนวัดโพธิ์มีสัญลักษณ์ถึงการไถ่ถอนและความรัก ซึ่งใครที่ต้องการเสริมมงคลชีวิต ให้สมหวังในความรัก หรือตัดขาดจากใครสักคน สามารถมากราบไว้ขอพรที่นี่ได้เลย
สำหรับในส่วนอื่นๆ ที่น่าชื่นชม ก็ต้องยกให้เป็นภาพจิตรกกรรมเรื่องราวต่างๆ รวมไปถึงภาพเขียนลายรดน้ำต่างๆ ภาพเบ็ดเตล็ด ภาพนิทานชาดก วรรณคดีไทยและภาพตำราดาวอีกด้วย รวมไปถึงอีกจุดที่โดดเด่นไม่น้อยไปกว่ากันเลยก็คือตุ๊กตาหินจีนหน้าซุ้มประตู ยักษ์วัดโพธิ์ทั้ง 8 ตน อยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าหอไตรตจุรมุข (พระมณฑป) 4 ด้าน ด้านละ 1 คู่ พูดได้ว่ามาทีไรต้องขอถ่ายรูปทุกครั้งไป
ไหว้พระและแวะชมแหล่งประวัติศาสรต์แห่งพระศานสนาของไทยแล้ว ก็ขอเดินเล่นรอบๆ ชุมชนเก่าแก่ย่านนี้ที่ยังคงทิ้งเสน่ห์ของยุคดั้งเดิมในวันเวลาของยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี และเป็นที่น่าสังเกตุคือเราจะเห็นความสวยงามของตึกเก่าที่ทิ้งร่องรอยความคลาสสิกในอดีตไว้ ซึ่งถือว่าเป็นความคอนทราสต์ระหว่างความทันสมัยที่ผสมผสานความเก่าแก่ออกมาได้อย่างน่าสนใจ
หากลองสังเกตดี ๆ เบื้องหลังของตึกแถวสีเหลืองแห่งนี้ได้มีตลาดและชุมชนบ้านเรือนเก่าแก่ที่ซ่อนอยู่ภายในตรอกเล็ก ๆ อายุกว่าร้อยปี ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากพอ ๆ กัน เพราะสถานที่แห่งนี้เคยเป็นย่านการค้าใหญ่ ที่มีท่าเรือขนส่งสินค้ามาจากประเทศต่าง ๆ
ถ้าเดินแล้วเมื่อย ร้อนไปนิด อยากหาที่นั่งพักช่วงคราว ก็สามารถแวะคาเฟ่หรือร้านอาหารสุดเก๋ที่ออกแบบผสมผสานของเก่าให้แฝงอยู่ในความทันสมัยได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้าน หรือเฟอร์นิเจอร์สไตล์แอนทีค ใครพบเห็นก็ต้องแวะเข้ามาเยือนเสมอ เพราะย่านนี้เจ้าของร้านเขาตั้งใจออกแบบมาให้เป็นพื้นที่พักผ่อน ที่พร้อมให้ทุกคนได้เข้ามาจิบเครื่องดื่มดี ๆ เคล้าบรรยากาศเมืองเก่าสุดคลาสสิก นอกจากนี้แล้วยังมีร้านค้า ร้านอาหารรายอื่นๆ ในตรอกซอกซอยเล็กๆ อีกมากมาย ค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ เพลินๆ กับการค้นหาคุณค่าใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ วันเวลาไม่คอยใคร แต่ย่านนี้เขาคอยเราทุกวันให้ไปเยือน
“น้ำมันปาล์มตราผึ้ง” โดยกลุ่มปาล์มธรรมชาติ ขอร่วมส่งเสริมเพื่อสืบสานคุณค่าแห่งวัฒนธรรมและวิถีชีวิต “กินดี อยู่ดี สุขภาพดี” รวมไปถึงการส่งเสริมและสนับสนุนการลดภาวะโลกร้อน เพื่อโลกที่น่าอยู่ของสังคมไทย