ร้านปากหวาน@ปากคลอง

ปากคลองตลาด

ลัดเลาะหาของกินอร่อย ๆ ย่านพระนคร จากปากคลองตลาดสู่ปากหวาน แล้วแวะชมวัดโพธิ์

วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เริ่มปีใหม่แล้วแต่โควิด-19 ก็ยังอยู่กับเรา สู้ ๆ กันต่อไปนะ ไม่นานนักชีวิตและความสุขของคนไทยจะกลับมาอย่างแน่นอน ตอนนี้เราขอนำเรื่องราวทริป 1 วันเพื่อลัดเลาะหาของกินอร่อย ๆ แถวย่านพระนครมาฝากกัน ซึ่งพวกเราได้ออกไปรีวิวกันก่อนโควิด-19 จะกลับมาเยือนอีกครั้ง ความสุขเริ่มได้ที่ใจ ทำใจให้สบาย ปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ปัญหาและอุปสรรคจะผ่านพ้นไปด้วยดีค่ะ

“ย่านพระนคร” ถือเป็นแหล่งชุมชนที่เก่าแก่ ซึ่งทิ้งไว้แห่งคุณค่าทั้งด้านวัฒนธรรมที่หลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่อง วัดวาอาราม อาหารการกิน รวมไปถึงการค้าขายของผู้คนและชุมชนของย่านนี้ วันนี้ผึ้งขอพารีวิวเดินเลาะจากปากคลองสู่ร้านอาหารเมนูไทยโบราณที่ชื่อว่า “ปากหวาน@ปากคลอง และจบท้ายด้วยการพาไปชมและเรียนรู้เรื่องราวของ “วัดโพธิ์” กันนะคะ บอกได้เลยว่าทริป 1 วันในครั้งนี้ ใช้งบไม่ต้องเยอะ ได้ทั้งความอิ่ม ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย พร้อมได้รูปถ่ายสวย ๆ ฟิน ๆ

มาค่ะ มาย้อนความหลังแห่งคุณค่าที่ไม่มีวันสิ้นสุดกันค่ะ

พร้อมกันแล้วมาอ่านและตามติดเรื่องราวของเรากันเลย…

เรามาเริ่มกันที่ปากคลองตลาดคะ ซึ่งเป็นตลาดสดขนาดใหญ่ บริเวณถนนจักรเพชร ยาวจนไปถึงถนนมหาราช ตั้งโอบล้อมวัดราชบูรณะ โรงเรียนราชินี และโรงเรียนสวนกุหลาบ ประกอบไปด้วยตลาดใหญ่ถึง 4 แห่งตั้งติด ๆ กัน ปัจจุบันเน้นขายสินค้าเกษตรกรรมที่เน้นการค้าส่งผัก ผลไม้ และดอกไม้สด ปากคลองตลาดติดอันดับที่ 4 (จากการจัดอันดับ 1 ใน 10 ของตลาดดอกไม้ทั่วโลก) ยังเป็นตลาดกล้วยไม้ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกอีกด้วย

ในสมัยอยุธยา ปากคลองตลาดเป็นย่านชุมชน พบหลักฐานเป็นสิ่งปลูกสร้างทั้งวัดและป้อมปราการต่าง ๆ ที่ก่อสร้างขึ้นมาหลายแห่ง รอบ ๆ ชุมชนมีคูคลองและแม่น้ำหลายสายเข้ามาบรรจบกันจนมีลักษณะเป็นปากคลอง ต่อมาในสมัยธนบุรี เป็นจุดนัดพบของผู้คนที่สัญจรทางน้ำ มีการค้าขาย แลกเปลี่ยนสิ่งของ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นตลาดค้าปลาขนาดใหญ่ที่ส่งตรงมาจากแม่น้ำท่าจีน (สมุทรสาคร) แล้วของที่ส่งผ่านมาทางแม่น้ำเจ้าพระยา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่โปรดฯ จะเรียกตลาดนี้ว่า “ตะพานปลา” ในระยะหนึ่ง ก็เปลี่ยนจากตลาดค้าปลาไปยังตำบลวัวลำพองหัวลำโพงแทน ตลาดปลานี้จึงแปรสภาพเป็นตลาดสด ค้าสินค้าเกษตร อย่างผัก ผลไม้ และดอกไม้สด มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง (ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org)

อยากบอกเพื่อน ๆ ว่าในขณะที่เราเดินอยู่ในแหล่งนี้ ดูแล้วเพลิดเพลินใจจังเลย สีสันของดอกไม้ช่างงามตระการตา ชื่นอกชื่นใจตลอดทั้งทางค่ะ สำหรับราคาถือว่ามาแล้วซื้อไปคุ้มค่าจริง ๆ ไม่แพงเลยเพราะไม่ต้องผ่านแม่ค้าพ่อค้าคนกลางนั่นเอง

เดินไปคุยกันไป และแล้วเราก็มาถึงร้าน “ปากหวาน@ปากคลอง” กันแล้วนะคะ ร้านอยู่ริมน้ำใหญ่ ด้านขวามือเป็นโรงเรียนราชินีที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของไทย ด้านหน้าประชิดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ถือว่าบรรยากาศได้เต็ม 100 คะแนนไปเลย เมื่อวันวานร้านนี้เปิดขึ้นด้วยการขายเฉพาะเครื่องดื่ม โดยมีลูกค้าชาวต่างชาติเป็นหลัก จากเครื่องดื่มก็เริ่มขยับขยายด้วยการหาเมนูไทย ๆ เข้ามาเสริม จนเป็นร้านอาหารที่ครบวงจรในวันนี้ และขอบอกว่าไม่ใช่แค่ครบวงจรเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเมนูโบราณของชาววังแท้ ซึ่งเจ้าของร้านได้ไปร่ำเรียนสูตรอาหารจากจากโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง และยังได้อาจารย์มัณฑนา ธนศิลป์ เข้ามาช่วยสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเมนูหรืองานร้อยมาลัย และการทำน้ำอบไทย ซึ่งน่าจะเปิดจำหน่ายและเปิดหลักสูตรการสอนในอนาคตอันใกล้นี้ค่ะ

เราพร้อมกันหรือยังค่ะ มาดูเมนูไทยโบราณที่เราสั่งกันมาทานในวันนี้กัน ก็มี ข้าวคลุกน้ำพริกเดินดง ปอเปี๊ยะสด ต้มจิ๋ว แกงหมูพริกขี้หนูกับโรตี ปลาแห้งแตงโม เมี่ยงคำ มัสมั่นไก่ น้ำพริกปูหลน สำหรับเครื่องดื่มขอเป็น Passion Fruit Soda มะม่วงสมูทตี้ มะนาวสมูทตี้ และจบท้ายด้วย มะกรูดลอยแก้ว ฟักทองสังขยา สั่งเยอะเชียว แต่ขอบอกหมดเกลี้ยงทุกจานค่ะ

ข้าวคลุกน้ำพริกเดินดง เป็นเมนูไทยโบราณหาทานยากในปัจจุบัน ในอดีตกาลชาวบ้านจะพกติดตัวไปกินกันระหว่างทาง เมื่อมีความจำเป็นต้องเดินทางไกลในป่าในเขา รสชาติจะคล้ายกับน้ำพริกตาแดงและน้ำพริกมะขามผสมกัน

นอกเหนือจากน้ำพริกแล้ว ชาวบ้านก็มักจะนำเอาพวกไข่ต้ม หมูแดดเดียว หมูฝอย มะม่วงป่า ปลาตัวเล็กตัวน้อยติดตัวไปกินอีกด้วย

ปอเปี๊ยะสด เมนูสุขภาพเลยทีเดียว ทั้งดอกอัญชัน ผักสมุนไพรนานาชนิด จิ้มกับน้ำจิ้มที่ให้รสชาติหวานนิด ๆ เข้ากันดีค่ะ

ต้มจิ๋ว เป็นเมนูที่ทำขึ้นมาเมื่อต้นรัชกาลที่ 5 โดยมีเหตุจากพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเวลานั้น พระธิดาในพระองค์จึงต้องทำเมนูนี้ขึ้นถวายเพื่อใช้รักษาพระอาการ

ต้มจิ๋วจึงมีสมุนไพรมากมาย อาทิเช่น ใบกะเพรา ใบโหระพา หอมแดง มีความเปรี้ยว และมีการทุบพริกผสมลงไปด้วยซึ่งจะช่วยเรื่องแก้ไอ และการที่มีรสชาติเปรี้ยวนั้นเป็นการผสมผสานกันระหว่างต้มส้มกับแกงเลียงนั่นเอง

แกงหมูพริกขี้หนูกับโรตี จัดใส่จานมาอย่างพอดี โรยหน้าด้วยพริกขี้หนูสวนและโหระพา ดูจัดจ้านน่าตักชิมยิ่งนัก เนื้อหมูเปื่อยและนิ่มดีคะ เครื่องแกงเข้มข้นแต่ไม่เผ็ด ให้รสชาติไทยโบราณจริง ๆ

ทานกับโรตีก็จะหนุบ ๆ มัน ๆ นะคะ

ปลาแห้งแตงโม จัดมาอย่างสวยงามจัง โรยหน้าปลาแห้งทานกับแตงโมแช่เย็น ๆ มา ชื่นใจค่ะ

เมี่ยงคำ ถือว่าเป็นอาหารว่างไทยโบราณ สวยงามและมีประโยชน์เยอะด้วยสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็น ใบชะพลู ขิง หัวหอมแดง มะนาว ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง พริกขี้หนู และมะพร้าวคั่ว

และไม่ต้องสงสัยกันไปนะว่าดอกบัวจะทานได้หรืออย่างไร เพราะไม่เพียงทานได้เท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง แก้ไข้ มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และเมื่อนำมาร่วมวงเมี่ยงคำแล้ว ก็ทำให้ของว่างจานนี้หน้าตาสวยหวานน่ารับประทานมาก ๆ เลย

มัสมั่นไก่ เมนูนี้ปรุงขึ้นมาน่าจะประมาณสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งสมัยนั้นไทยค้าขายกับจีน ชาวจีนได้นำเกาลัดมาถวาย ห้องเครื่องจึงดัดแปลงนำเอาเกาลัด (ซึ่งมีราคาแพงมาก) มาปรุงประกอบในมัสมั่น แทนที่จะใช้พวกหัวมันธรรมดา ๆ

มะกรูดลอยแก้ว ขนมไทยโบราณที่คนรู้จักกันน้อยมาก เจ้าของบอกทำเองทุกขั้นตอน เริ่มจากปอกเปลือกมะกรูดเพื่อให้ได้ลูกมะกรูด และนำไปเชื่อม ทานคู่กับน้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำมะกรูดผสมกับน้ำผึ้งป่า

ให้รสชาติธรรมชาติและกลมกล่อมจริง ๆ สำหรับผิวมะกรูดที่ปอกไว้เขาไม่ได้ทิ้งนะคะ สามารถนำไปตากแดดเพื่อไปทำเครื่องหอมค่ะ

ฟักทองสังขยา สูตรชาววัง เนื้อสังขยานุ่มละมุนลิ้นผสมกับความนุ่มของฟักทองไทย เข้ากันดีเลยเชียวค่ะ

สำหรับเครื่องดื่มขอเป็น Passion Fruit Soda

มะม่วงสมูทตี้

มะนาวสมูทตี้

อิ่มจนพูดไม่ออก แต่ก็ยังไหวและพร้อมเดินทางต่อไปยังวัดโพธิ์ แถวท่าเตียน ทางผ่านไปยังวัดเราจะสังเกตเห็นตึกสีเหลืองอร่ามตาด้านขาวมือ ซึ่งอดไม่ได้ที่จะขอถ่ายภาพเก็บมาให้ดูกัน นั่นก็คือ “สถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง” สวยงามจริง ๆ ค่ะ

เอาละค่ะมาถึงแล้ววัดโพธิ์ วัดที่สวยไม่แพ้ใคร ไปกันค่ะไปไหว้พระนอนกัน

ขอเล่าสั้น ๆ เกี่ยวกับวัดนี้กันหน่อยค่ะ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เรียกสั้น ๆ ในแบบที่เราคุ้นหูคือ วัดโพธิ์ นั่นเอง หนึ่งในวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร (วัดประจำรัชกาลในรัชกาลที่ 1) และมีพระนอนที่ใหญ่ที่สุดด้วยความยาวกว่า 150 ฟุต วัดโพธิ์ถือได้ว่าเป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีจำนวนประมาณ 99 องค์ เจดีย์เหล่านี้ถูกประดับประดาด้วยกระเบื้องเคลือบโบราณ ลวดลายดอกไม้สีสันสดใส สวยงามมากจริง ๆ

วัดโพธิ์ เป็นที่จารึกของวิชา ตำราแขนงต่าง ๆ หลายแขนง เช่น ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม การแพทย์ ซึ่งเปรียบเสมือนแหล่งให้ความรู้ เปรียบได้กับว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ ปัจจุบันวัดโพธิ์ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อมีนาคม พ.ศ. 2551 ชื่อเสียงที่ลือเลื่องในอีกด้านหนึ่งของวัดโพธิ์ก็คือ เรื่องของตำราและศาสตร์แห่งการนวดแผนโบราณ ที่สืบทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สั่งสมมายาวนานได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทุกอย่างที่ถูกจารึกไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของวัดล้วนน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการบันทึกหรือสรรพวิทยาที่ถ่ายทอดออกมาด้วยการใช้ภาพอธิบายร่วมกับตัวอักษร

หนึ่งในสิ่งที่ห้ามพลาดก็คือ “พระพุทธไสยาสน์” หรือพระนอน พระพุทธรูปขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่กึ่งนอน ก่ออิฐ ถือปูน ปิดทองทั่วทั้งองค์

พระบาทซ้ายและขวาซ้อนเสมอกัน โดยมีลักษณะพิเศษ คือ มีประดับมุกภาพมงคล 108 ประการที่พระบาทนั่นเองค่ะ ด้านในมีจิตรกรรมฝาผนัง แสดงภาพวิถีชีวิตของชาวไทยในสมัยก่อน

พระอุโบสถ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ นามว่า พระพุทธเทวปฏิมากร ที่ฐานชุกชีก่อไว้ 3 ชั้น ชั้นที่ 1 บรรจุพระบรมอัฐิและพระราชสรีรังคารรัชกาลที่ 1 ไว้ ชั้นที่ 2 ประดิษฐานรูปพระอัครสาวกทั้งสอง องค์ฐานชุกชีชั้นล่างสุดประดิษฐานพระมหาสาวก 8 องค์ (พระอรหันต์ 8 ทิศ) จิตรกรรมประดับผนังพระอุโบสถเหนือต่างขึ้นไปเขียนเรื่องมโหสถบัณฑิต (มหาบัณฑิตแห่งมิถิลานคร) คอสองในประธานทั้งสองข้างเขียนเรื่องเมืองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ผนังประตูหน้าต่างเขียนเรื่องพระสาวกเอตทัคคะ 41 องค์ บานหน้าต่างด้านในเขียนลายรดน้ำเป็นรูปตราประจำตำแหน่งเจ้าคณะสงฆ์ในกรุงและหัวเมือง สมัยรัชกาลที่ 3 ด้านนอกแกะสลักเป็นลายแก้วชิงดวง

และอีกสถานที่สำคัญในวัดโพธิ์ก็คือ “มหาเจดีย์สี่รัชกาล” มหาเจดีย์ขนาดใหญ่ 4 องค์ องค์พระเจดีนั้นเป็นแบบเจดีย์ย่อไม้สิบสอง ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ อันประกอบด้วย พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1 – 4 สวยงามมาก ๆ และมีมุมถ่ายภาพมากมาย สามารถเดินเล่นกันได้อย่างสบายใจ สีสันของตัววัดตัดกับสีของท้องฟ้าดูส่งเสริมและเข้ากันได้ดี เป็นภาพที่สวยงามจริง ๆ จะมองไปทางไหนก็สวยทุกมุมมองค่ะ

มาพูดถึง “ยักษ์วัดโพธิ์” กันค่ะ ก่อนทำความรู้จักกับยักษ์วัดโพธิ์ตัวจริง เรามาทำความรู้จักกับยักษ์หินที่เราเข้าใจผิดกันว่าเป็นยักษ์วัดโพธิ์มาตลอดกันก่อน หุ่นจีนเหล่านี้เรียกว่า “ลั่นถัน” นำเข้ามาจากประเทศจีน ซึ่งในวัดก็มีอยู่หลายตนทีเดียว

ส่วนยักษ์วัดโพธิ์ตัวจริง อยู่ที่นี่บริเวณซุ้มประตูที่ประมณฑปซึ่งเป็นที่เก็บพระไตรปิฎก ปัจจุบันยักษ์วัดโพธิ์เหลืออยู่ 4 ตน ซึ่งก็เป็นยักษ์จากเรื่องรามเกียรติ์นั่นเอง จากตำนานเรื่องท่าเตียนที่ว่ายักษ์วัดโพธิ์ตีกับยักษ์วัดแจ้งนั้น หลังจากที่ทั้งสองยักษ์ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเตียนโล่งจนถูกเรียกว่าท่าเตียน ก็ถูกเทวดาสาปให้เป็นหินเฝ้าประตูวัดอยู่ถึงปัจจุบัน และยังมีจุดสำคัญอื่น ๆ อีกภายในวัดแห่งนี้ ต้องลองมาเดินชมกันนะคะ ความสวยงามและคุณค่ายังรอคอยเพื่อนๆ อยู่เสมอ (ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org)

เราเห็นภาพมากมายจากผู้คนที่รีวิวและเขียนเรื่องราวที่ได้มาที่วัดแห่งนี้ ของจริงสวยกว่าในภาพหลายเท่า อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองไปสัมผัสกันดูสักครั้ง ด้วยความงดงามและความสำคัญทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน จึงทำให้วัดโพธิ์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของใครหลาย ๆ คน สรุปเป็นว่าทริป 1 วันในครั้งนี้ได้ประสบการณ์และมาสัมผัสคุณค่ารอบด้านจริง ๆ กิน เที่ยว ชม และเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไทยอย่างแท้จริง

น้ำมันพืชตราผึ้ง ปลอดไขมันทรานส์

“ผึ้ง” กรอบอร่อยได้คุณค่า แบรนด์ของคนรุ่นใหม่

Cooking By Bee

Similar Posts