มิถุนายนนี้ อย. ห้ามใช้ไขมันทรานส์

ไขมันทรานส์ (Trans Fat)

พูดถึงไขมัน ใคร ๆ ก็คงกลัวว่า ทานเข้าไปแล้วมันจะอ้วนใช่ไหมล่ะคะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าไขมันเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายนะคะ เพราะเป็นแหล่งพลังงานและเราจำเป็นที่จะต้องได้รับกรดไขมันที่จำเป็นมาช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน คือ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี เเละวิตามินเค เเต่การรับประทานอาหารที่มีไขมันมากเกินความพอดี อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ และตัวที่ร้ายกาจมาก ๆ ก็คือ “ไขมันทรานส์” นอกจากจะเสี่ยงต่อโรคอ้วนแล้ว ก็ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายอีกหลายโรคด้วยนะคะ

ไขมันทรานส์ (Trans Fat) หรือไขมันไม่อิ่มตัวที่ถูกแปรสภาพทางเคมีให้มีความอิ่มตัวเทียม เพื่อให้สามารถเก็บได้นานโดยไม่เหม็นหืนง่ายและทนความร้อนได้สูง ซึ่งปัจจุบันพบว่าเป็นตัวการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน ซึ่งไม่ได้ซ่อนตัวอยู่แค่ในอาหารหรือขนมที่มีรูปลักษณ์สวยงามน่าทานเท่านั้น แต่ไขมันทรานส์ยังพบในน้ำมันที่ผ่านกระบวนการ “ไฮโดรจีเนชั่น” (Hydrogenation) หรือการเติมไฮโดรเจนลงไป เพื่อแปรรูปให้มีความอิ่มตัวเทียม ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงควรอ่านฉลากอาหาร โดยเลือกซื้อน้ำมันที่ระบุว่าปลอดไขมันทรานส์ หรือไม่ปรากฏคำว่า “Hydrogenated Oil” หรือ “Partially Hydrogenated Oil นอกจากนี้ยังไม่ควรนำน้ำมันประเภทนี้ไปใช้ทอดอาหารที่มีความร้อนสูงเป็นเวลานาน เพราะจะยิ่งทำให้เกิดไขมันทรานส์เพิ่มขึ้น (ข้อมูลจาก www.naturalpalm.com)

และในช่วงนี้เองผึ้งก็ทราบข่าวมาว่า จะมีกฎหมายห้ามใช้ไขมันทรานส์เกิดขึ้น โดยข้อมูลจาก ไทยรัฐ เปิดเผยว่า นักวิชาการอาหารและยาชำนาญการ สำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เรื่องกำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย เนื้อหาสาระจะควบคุมการผลิตอาหารที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน ที่ก่อให้เกิดกรดไขมันทรานส์ เพราะผลวิจัยพบว่า ไขมันทรานส์เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด จึงอาศัยอำนาจแห่ง พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ซึ่ง รมว.สาธารณสุข ออกประกาศไว้ คือ

  1. ให้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนและอาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบ เป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย
  2. ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ที่ขณะนี้ได้ผ่านการประชาพิจารณ์พิจารณาแล้ว รอเสนอ รมว.สาธารณสุขลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เบื้องต้นคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งหากประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามกำหนดจะมีผลในอีก 1 ปี แต่ความเป็นจริงหากนับเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ก็จะทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาเตรียมตัว 1 ปีครึ่ง


แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะ “น้ำมันปาล์มตราผึ้ง ปลอดไขมันทรานส์ที่เกิดจากกระบวนการไฮโดรจีเนชั่น เพราะผลิตจากเนื้อปาล์มที่มีกรดไขมันอิ่มตัวตามธรรมชาติ นำมาสกัดแยกกรดไขมันอิ่มตัวบางส่วนออกโดยยังคงคุณสมบัติทนความร้อนสูงได้ดี ไม่ก่อให้เกิดคราบเหนียวติดกระทะและไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนเกิดกลิ่นหืน

มาใช้น้ำมันปาล์มตรา “ผึ้ง” กันเถอะค่ะ นอกจากจะปลอดไขมันทรานส์แล้ว ยังไม่มีคอเลสเตอรอล และผลิตด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วยนะคะ

กรอบอร่อยได้คุณค่า “ผึ้ง” แบรนด์ของคนรุ่นใหม่

Cooking by Bee

Similar Posts