น้ำมันปาล์มผึ้งเปิดเกม ลุยปั้นแบรนด์เพิ่มฐานลูกค้า
หลังจากก่อตั้งธุรกิจกลุ่มธรรมชาติเมื่อปี 2542 โดยเริ่มต้นจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบใน จ.สุราษฏร์ธานี ภายใต้ชื่อบริษัท ปาล์มน้ำมันธรรมชาติ ต่อมาในปี 2545 ได้ก่อตั้งโรงงานสกัดน้ำมันดิบโรงที่ 2 ใน จ.ชุมพร และเปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น กลุ่มปาล์มธรรมชาติ เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม
จากแนวคิดที่ต้องการให้ธุรกิจมีความครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ล่าสุดบริษัท กลุ่มปาล์มธรรมชาติได้พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มภายใต้แบรนด์ผึ้งเข้ามาทำตลาดในช่องทางค้าปลีก ซึ่งนโยบายการดำเนินธุรกิจยังคงเน้นการมีส่วนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมและพัฒนาชุมชนเหมือนที่ผ่านมา
โกวิท ควรทรงธรรม กรรมการบริหารกล่าวว่า จากแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของคุณพ่อที่ต้องการทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ จึงได้ขยายไลน์ธุรกิจมาในส่วนของผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มซึ่งในช่วงแรกจะเน้นจำหน่ายในบรรจุภัณฑ์แบบถุง ปี๊บ และแท็งก์ ต่อมาได้ขยายสู่ผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มบรรจุขวด เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคทั่วไป มีให้เลือกทั้งขนาด 250 ซีซี 1 ลิตร 2 ลิตร และ 6 ลิตร วางระดับราคาใกล้เคียงกับแบรนด์อื่นในตลาด
อย่างไรก็ตาม หลังจากทดลองทำตลาดน้ำมันปาล์มแบรนด์ผึ้ง ในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา โกวิทยอมรับว่าผลการตอบรับยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักแบรนด์ โดยเฉพาะผู้บริโภคในกรุงเทพฯ และการกระจายสินค้ายังไม่ครอบคลุมช่องทางค้าปลีก โดยปัจจุบันบริษัทวางสินค้าได้เพียงใน บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ซูเปอร์มาร์เก็ตในเครือท็อปส์ และซูเปอร์มาร์เก็ตในเครือเดอะมอลล์เท่านั้น
“ลูกค้าหลักของเราตอนนี้จะเป็นกลุ่มยี่ปั๊ว และซาปั๊ว เนื่องจากเราทำตลาดน้ำมันปาล์มในช่องทางดังกล่าวมาเป็นระยะเวลานาน ส่วนห้างค้าปลีกขณะนี้ยังไม่สามารถนำสินค้าไปจำหน่ายในห้างเทสโก้โลตัส ห้างแม็คโคร และร้านเซเว่นอีเลฟเว่นได้ เนื่องจากการแข่งขันในช่องทางดังกล่าวรุนแรงมาก” โกวิทกล่าว
จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้โกวิทมีแผนจะเร่งสร้างแบรนด์น้ำมันปาล์มผึ้งให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ เน้นไปที่สื่อสิ่งพิมพ์และป้ายโฆษณา ส่วนสื่อโฆษณาทีวียังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ พร้อมทั้งวางเป้าหมายหลังจากสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จัก และเพิ่มช่องทางการทำตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นภายใน 3 ปีนับจากนี้จะสร้างส่วนแบ่งตลาดน้ำมันปาล์มผึ้งให้อยู่ที่ 5 – 10% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาด 2 – 3% เท่านั้นจากมูลค่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม 3 – 4 หมื่นล้านบาท
“นอกจากจะทำตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าในประเทศแล้ว บริษัทยังได้นำน้ำมันปาล์มผึ้งไปจำหน่ายบริเวณแนวชายแดน เพื่อให้มีการนำสินค้าเข้าไปทำตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ พม่า ลาว และกัมพูชา” โกวิทกล่าว
ขณะเดียวกันภายใต้การบริหารงานของบริษัท กลุ่มปาล์มธรรมชาติ นอกจากจะดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มแล้วยังดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนอีกด้วย โดยปัจจุบันมีโรงงานที่ดำเนินธุรกิจดังกล่าวด้วยกัน 2 แห่ง คือ โรงงานไบโอแมส หรือการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากกากผลปาล์ม และโรงงานไบโอแก๊ส หรือการนำของเสียที่มีกลิ่นเหม็นมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า
“พลังงานไฟฟ้าที่เราสามารถผลิตได้ส่วนหนึ่งเรานำมาใช้เองและอีกส่วนหนึ่งผลิตเพื่อขาย ซึ่งขณะนี้เราได้ขยายโรงงานไบโอแมสแห่งที่ 2 ใน จ.ชุมพร ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ภายใต้งบลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงกว่าการสร้างโรงงานไบโอแก๊สที่ใช้งบลงทุนเพียง 120 ล้านบาท เนื่องจากกระบวนการในการผลิตมีความแตกต่างกัน” โกวิทกล่าว
แม้ว่าบริษัท กลุ่มปาล์มธรรมชาติ จะมีการขยายธุรกิจเข้ามาในส่วนของพลังงานไฟฟ้า แต่ในส่วนของรายได้หลักที่รับรู้ยังคงมาจากธุรกิจน้ำมันปาล์มเป็นหลัก ซึ่งในปีนี้คาดการณ์ว่าภาพรวมรายได้จะเติบโต 3-5% จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท